Bottom Mobile Menu

ฟ้องหย่าเชียงใหม่ ฟ้องชู้ ฟ้องเลี้ยงดูบุตร
10 เหตุฟ้องหย่า 2568

ติดต่อทนาย
โทร

10 สาเหตุในการฟ้องหย่า สำหรับการฟ้องหย่าทั่วประเทศหรือแม่แต่การฟ้องหย่าเชียงใหม่

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516

การสมรสไม่ใช่เพียงเรื่องของความรักเท่านั้น แต่ยังเป็นพันธะทางกฎหมายที่มีผลผูกพันทั้งสองฝ่าย เมื่อชีวิตสมรสไม่อาจดำเนินไปด้วยความสงบสุขอีกต่อไป กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถ “ฟ้องหย่า” ได้ หากมีเหตุผลอันสมควร ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย สำหรับการฟ้องหย่าทั่วประเทศ

1. สามีหรือภริยามีชู้ หรือเป็นชู้กับผู้อื่น

การมีชู้หรือการอยู่กินฉันสามีภริยากับบุคคลอื่นโดยสมัครใจ ถือเป็นการล่วงละเมิดพันธะชีวิตสมรสอย่างร้ายแรงและกระทบต่อศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายโดยตรง การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุที่ชัดเจนที่อีกฝ่ายสามารถใช้ในการฟ้องได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายดังกล่าวโดยตรง หรือมีหลักฐานยืนยันชัดเจน เช่น ภาพถ่าย การจดทะเบียนคู่ชีวิตซ้อน หรือการรับบุตรร่วมกันกับบุคคลที่ไม่ใช่คู่สมรส

2. ประพฤติชั่วร้ายแรง

ถ้าฝ่ายใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ทำร้ายร่างกาย ใช้ความรุนแรง หรือกระทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่ออีกฝ่าย ถือเป็นเหตุร้ายแรงที่อีกฝ่ายฟ้องได้เพื่อปกป้องตนเอง

3. จงใจละทิ้งเกินหนึ่งปี

หากฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งอีกฝ่ายโดยไม่ติดต่อ ไม่ส่งเสียเลี้ยงดู และไม่มีเหตุอันสมควรเกินหนึ่งปีขึ้นไป สามารถฟ้องโดยใช้เหตุนี้ได้

4. ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีและอยู่ด้วยกันไม่ได้


กรณีที่ฝ่ายใดต้องโทษจำคุกจากความผิดอาญาเกินหนึ่งปี และความผิดนั้นทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ ถือเป็นเหตุให้หย่าได้

5. แยกกันอยู่เกินสามปีโดยไม่มีเหตุสมควร


หากสามีภรรยาแยกกันอยู่โดยไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา และไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมติดต่อกันเกินสามปี ศาลสามารถพิจารณาหย่าได้ตามคำร้อง

6. หายสาบสูญเกินสามปี


เมื่อฝ่ายใดหายไปโดยไม่สามารถติดต่อได้เลยเป็นเวลานานเกินสามปี อีกฝ่ายมีสิทธินำเหตุนี้ไปฟ้องได้เช่นกัน

7. ไม่เลี้ยงดูหรือทอดทิ้งหน้าที่

การไม่ทำหน้าที่ของสามีหรือภรรยา เช่น ไม่ให้ความรัก การดูแล หรือไม่ส่งเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นเหตุหย่าที่ชัดเจน

8. วิกลจริตรักษาไม่หายเกินสามปี

หากคู่สมรสมีอาการป่วยทางจิตที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และเป็นเวลาติดต่อกันเกินสามปี อีกฝ่ายสามารถยื่นฟ้องได้

9. เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่รักษาไม่หาย

โรคติดต่อร้ายแรงที่อยู่ร่วมกันแล้วมีความเสี่ยงหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตคู่ เช่น โรคติดต่อเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ก็เป็นเหตุให้หย่าได้

10. มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ติดสุราหรือยาเสพติด

หากฝ่ายใดติดสุรา ติดยา หรือมีพฤติกรรมรุนแรงจากสิ่งเสพติดจนทำให้ชีวิตสมรสมีปัญหาอย่างรุนแรง อีกฝ่ายสามารถฟ้องได้เพื่อปกป้องความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว

ฟ้องหย่าเชียงใหม่

🔹 1. แนวโน้มการฟ้องหย่าในปัจจุบัน

ในยุคปัจจุบัน การฟ้องหย่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีชู้ หรืออีกฝ่ายละทิ้งชีวิตคู่ไปอย่างไม่มีเหตุสมควร เหตุเหล่านี้ส่งผลให้ฝ่ายที่ถูกกระทำเสียสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปกติสุข การฟ้องจึงเป็นช่องทางที่ใช้เรียกร้องความยุติธรรม และจัดระเบียบชีวิตใหม่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย


🔹 2. สิทธิในสินสมรสและการจัดการทรัพย์

เมื่อมีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่ได้มาร่วมกันระหว่างชีวิตสมรสจะถือเป็น “สินสมรส” ซึ่งคู่สมรสมีสิทธิร่วมกันในการครอบครองและจัดการ หากเกิดการหย่าร้าง ต้องมีการแบ่งสินสมรสอย่างเป็นธรรม และหากฝ่ายใดจะโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสให้ผู้อื่น จะต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายด้วย มิฉะนั้นถือเป็นการละเมิดสิทธิของอีกฝ่าย ซึ่งสามารถฟ้องร้องได้


🔹 3. กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรส

หากคู่สมรสไม่ได้จดทะเบียนสมรส การพิสูจน์สิทธิในทรัพย์ที่ได้มาร่วมกันอาจทำได้ยากกว่า โดยต้องแสดงหลักฐานว่าได้ร่วมกันหามาจริง เช่น การลงทุนร่วม รายรับร่วม หรือการครอบครองร่วมกันจึงจะสามารถเรียกร้องสิทธิได้ สำหรับสถานะของบุตร ฝ่ายมารดาจะมีสิทธิในตัวบุตรโดยสมบูรณ์ แต่ฝ่ายชายจะยังไม่มีสิทธิตามกฎหมาย เว้นแต่จะมีการ “รับรองบุตร” อย่างเป็นทางการ


🔹 4. การฟ้องรับรองบุตรและเรียกค่าเลี้ยงดู

หากฝ่ายชายไม่รับรองบุตรโดยสมัครใจ มารดาสามารถยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษารับรองความเป็นบิดาได้ ซึ่งเมื่อศาลรับรองแล้ว จะสามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้ตามสิทธิของเด็ก และศาลจะพิจารณาตามฐานะของบิดาและความจำเป็นของเด็กเป็นหลัก


🔹 5. การฟ้องชู้และหลักฐานที่ต้องเตรียม

การฟ้องชู้นั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายที่ฝ่ายภรรยาหรือสามีสามารถดำเนินการได้ หากพบว่าคู่สมรสของตนมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับบุคคลอื่น แต่ต้องมี “หลักฐานชัดเจน” เช่น ภาพถ่าย ข้อความสนทนา พยานบุคคล หรือบันทึกการเดินทางร่วมกัน เพื่อให้ศาลเชื่อถือ การเก็บหลักฐานจึงต้องกระทำอย่างถูกต้องและรอบคอบ และสามารถใช้บริการจากทีมสืบหรือทนายความมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในคดีชู้ เช่น “ทีมทนายเมียหลวง” เพื่อเพิ่มความมั่นใจในผลของคดี


🔹 6. การปรึกษาทนายและดำเนินคดีทางกฎหมาย

หากผู้เสียหายมีความประสงค์จะฟ้องหย่า ฟ้องชู้ ฟ้องค่าเลี้ยงดู หรือฟ้องรับรองบุตร สามารถติดต่อทนายความเพื่อดำเนินการได้ทันที ทนายจะเป็นผู้จัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ยื่นคำฟ้อง และเป็นตัวแทนในกระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาล ช่วยให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิของตนในกรอบของกฎหมายไทย

ฟ้องค่าเลี้ยงดู

การเลือกทนายความที่มีประสบการณ์เฉพาะทางในคดีฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร

ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาครอบครัว ไม่เพียงแต่ทนายความจะเป็นผู้ดำเนินการทางกฎหมายให้เท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนผู้แทนผลประโยชน์ ผู้ให้คำปรึกษา และผู้ประคองทางจิตใจในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้อีกด้วย

ทนายความที่มีประสบการณ์จะเข้าใจลึกซึ้งถึงความซับซ้อนของกฎหมายครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องหย่า ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งด้านสิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในตัวบุตร การเลี้ยงดู การศึกษาของบุตร ค่าเลี้ยงดู และแม้กระทั่งเรื่องจิตใจของลูกความ ทนายความเหล่านี้มักมีทักษะในการวิเคราะห์คดีอย่างรวดเร็ว รู้ว่าควรใช้แนวทางกฎหมายใดในการสนับสนุนเหตุหย่าตามมาตรา 1516 และสามารถรวบรวมพยานหลักฐานให้มีน้ำหนักในชั้นศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในประโยชน์สำคัญของการเลือกทนายที่มีประสบการณ์ คือการช่วยลูกความประเมินภาพรวมของคดีได้ตั้งแต่แรกเริ่ม ทนายจะช่วยตรวจสอบว่าเหตุที่ลูกความประสงค์จะใช้ฟ้องหย่านั้นเข้าข่ายตามกฎหมายหรือไม่ และมีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ที่จะพิสูจน์ต่อศาล การวิเคราะห์เช่นนี้มีความสำคัญ เพราะหากฟ้องไปโดยไม่มีเหตุหรือหลักฐานเพียงพอ อาจทำให้คดีเสียเปล่าและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยไม่จำเป็น

นอกจากความเชี่ยวชาญในกฎหมายแล้ว ทนายความที่ดีควรมีทักษะด้านการสื่อสาร และมนุษยสัมพันธ์ เพราะคดีหย่ามักไม่ใช่การต่อสู้ทางกฎหมายธรรมดา แต่คือการจัดการความขัดแย้งในครอบครัว การมีทนายที่เข้าใจอารมณ์ลูกความ และสามารถประสานงานกับอีกฝ่ายได้อย่างมืออาชีพ จะช่วยลดแรงปะทะและทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้านค่าเลี้ยงดูบุตร ทนายที่มีประสบการณ์จะรู้วิธีนำเสนอข้อมูลทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายลูกความ ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายประจำเดือนของบุตร ค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย รวมถึงค่ากิจกรรมเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ทนายสามารถคำนวณยอดเงินที่เหมาะสมและแสดงต่อศาลได้ว่า จำนวนเงินที่ร้องขอมีเหตุมีผลเพียงใด ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ศาลมีคำสั่งตามที่ร้องไว้

การมีทนายที่เข้าใจกฎหมายว่าด้วยอำนาจปกครองบุตร เช่น มาตรา 1520 และกฎหมายเยาวชนอื่น ๆ จะช่วยให้ลูกความสามารถยื่นคำร้องเพื่อให้ตนเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ ทนายที่มีประสบการณ์จะสามารถช่วยเตรียมร่างข้อตกลงเกี่ยวกับบุตรหลังการหย่า เช่น วันเวลาที่ฝ่ายที่ไม่ได้ดูแลประจำสามารถเยี่ยมบุตร หรือแนวทางการร่วมตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบุตร เช่น การศึกษา ศาสนา และสุขภาพ

บางครั้ง ฝ่ายตรงข้ามในคดีหย่าอาจใช้กลยุทธ์ถ่วงเวลา เช่น ไม่มาศาลตามนัด ไม่ยื่นคำให้การ หรือยื่นคำร้องเท็จเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ทนายความที่ช่ำชองจะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินกระบวนการตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว เช่น ขอให้พิจารณาโดยขาดฝ่ายหนึ่ง หรือขอหมายเรียกบังคับ ทนายที่ดีจะรู้ว่าควรตอบโต้หรือขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีใด

กรณีศึกษาหลายกรณีชี้ให้เห็นว่า ทนายที่ไม่มีประสบการณ์ในคดีครอบครัว อาจทำให้คดีล่าช้า หลักฐานอ่อน หรือไม่สามารถเจรจาให้ลูกความได้รับสิทธิอย่างที่ควร การฟ้องที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นชู้และมีพฤติกรรมรุนแรงในบ้าน จำเป็นต้องใช้ทนายที่กล้าเผชิญและวางแนวทางคดีอย่างรอบคอบเพื่อปกป้องสิทธิของลูกความและบุตร

ก่อนว่าจ้างทนาย ท่านควรสอบถามคำถามสำคัญ เช่น

– เคยทำคดีหย่ากี่คดี?

– เคยว่าความเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรหรือการปกครองบุตรหรือไม่?

– ประเมินความเป็นไปได้ของคดีนี้อย่างไร?

– ใช้เวลาประมาณเท่าใด? มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

– มีแนวทางการไกล่เกลี่ยหรือการสู้คดีหรือไม่?

เอกสารว่าจ้างควรมีความชัดเจน เช่น สัญญาทนาย ใบเสนอราคา รายการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนการระบุขอบเขตงานให้ชัด เช่น ให้ทนายดำเนินคดีจนถึงชั้นศาลอุทธรณ์หรือไม่ หรือจำกัดเพียงศาลชั้นต้น หากไม่มีข้อตกลงชัดเจน อาจเกิดความเข้าใจผิดและปัญหาในภายหลังได้

นอกจากนี้ การพูดคุยกับทนายต้องเป็นไปด้วยความเปิดเผย ลูกความควรเล่าความจริงทั้งหมด แม้เป็นเรื่องส่วนตัวหรือมีโอกาสเสียเปรียบ เพราะการปิดบังความจริงอาจทำให้ทนายวางกลยุทธ์ผิดพลาด ซึ่งส่งผลเสียหายต่อคดีในภายหลัง ทนายที่ดีจะไม่ตัดสินลูกความ แต่จะวางแผนต่อสู้และปกป้องผลประโยชน์ของลูกความภายใต้ความจริงที่เกิดขึ้น

ทนายที่ดีจะไม่เร่งให้ฟ้องโดยไม่จำเป็น แต่จะช่วยให้ลูกความประเมินผลกระทบต่าง ๆ เช่น ผลกระทบต่อบุตร ภาพลักษณ์ในสังคม การเงินระยะยาว ฯลฯ และเสนอแนวทางอื่นก่อน เช่น การไกล่เกลี่ย การทำข้อตกลงล่วงหน้า หากลูกความตัดสินใจแน่ชัดแล้ว จึงดำเนินคดีด้วยความรอบคอบ

สำหรับคดีที่มีการฟ้องชู้ หรือมีทรัพย์สินร่วมจำนวนมาก ทนายต้องมีความเข้าใจในกฎหมายหลักทรัพย์ การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การยื่นคำขอให้ศาลสั่งระงับการขาย การยักย้ายถ่ายเททรัพย์ และการขอให้ศาลคุ้มครองสิทธิของลูกความจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

ทนายความที่มีประสบการณ์จะสามารถทำงานร่วมกับนักสืบ นักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สิน หรือนักไกล่เกลี่ยในกรณีที่จำเป็น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของคดี และวางกลยุทธ์อย่างรอบด้าน

ในยุคปัจจุบัน การมีทนายที่สามารถสื่อสารและอัปเดตข้อมูลให้ลูกความอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อีเมล ไลน์ หรือโทรศัพท์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะลูกความจะได้ทราบความคืบหน้า และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างทันท่วงที ซึ่งช่วยให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยไม่สะดุด

ท้ายที่สุด การเลือกทนายความที่มีประสบการณ์และเข้าใจลูกความอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ช่วยให้คดีหย่าบรรลุผลสำเร็จทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกความสามารถก้าวข้ามช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้อย่างมั่นใจ มีแผนในอนาคต และพร้อมสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง

ความยุติธรรมกับครอบครัว

ความยุติธรรมกับครอบครัวเป็นแนวคิดสำคัญที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับชีวิตส่วนตัวของผู้คน โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ครอบครัวยังคงเป็นสถาบันหลักในการอบรม สั่งสอน และหล่อหลอมคุณธรรมให้กับสมาชิก แนวคิดเรื่องความยุติธรรมในบริบทครอบครัวนั้น มิได้จำกัดอยู่แค่กระบวนการทางกฎหมายที่เป็นทางการ เช่น การฟ้องร้อง การแบ่งทรัพย์สิน หรือการปกครองบุตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเท่าเทียมในการตัดสินใจ ความรับผิดชอบต่อกัน และความเคารพในสิทธิของกันและกันในฐานะสมาชิกในครอบครัว

ในเชิงกฎหมาย ความยุติธรรมในครอบครัวปรากฏผ่านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ถึง 1563 ซึ่งว่าด้วยการสมรส สิทธิหน้าที่ของสามีภรรยา บุตร และความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยรวม กฎหมายเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญในการปกป้องสิทธิของแต่ละฝ่าย เช่น การกำหนดให้สามีภรรยาต้องให้เกียรติและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การแบ่งสินสมรสอย่างเท่าเทียม หรือการกำหนดสิทธิของบิดามารดาในการปกครองบุตร

อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมที่แท้จริงในครอบครัวไม่สามารถอาศัยแต่เพียงตัวบทกฎหมายเท่านั้น หากแต่ต้องมี “ความเข้าใจ” และ “การเคารพ” ต่อกันเป็นพื้นฐาน กฎหมายอาจเป็นเพียงแนวทางในการแก้ไขเมื่อเกิดข้อพิพาท แต่การสร้างความยุติธรรมที่แท้จริงในครอบครัวต้องเริ่มต้นจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การแบ่งหน้าที่ในบ้าน การรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน หรือการตัดสินใจร่วมกันในเรื่องที่กระทบต่อสมาชิกครอบครัว

ในกรณีที่มีข้อพิพาท เช่น ความขัดแย้งระหว่างคู่สมรส การทะเลาะวิวาทระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือกรณีที่สมาชิกคนหนึ่งรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แนวคิดเรื่องความยุติธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการหาทางออกร่วมกัน โดยอาจเริ่มจากการพูดคุย เปิดใจ หรือแม้กระทั่งขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาครอบครัว นักสังคมสงเคราะห์ หรือทนายความที่มีความเข้าใจในเรื่องครอบครัว

นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐ เช่น ศาลเยาวชนและครอบครัว หรือสำนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยุติธรรมในครอบครัว โดยการไกล่เกลี่ย การให้คำปรึกษา และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแยงบานปลายเป็นปัญหาทางอาญา

อีกมิติหนึ่งที่ควรกล่าวถึง คือ ความยุติธรรมในมิติของ “เด็ก” เด็กควรได้รับความรัก การดูแล และโอกาสที่เท่าเทียมจากพ่อแม่ โดยไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในความขัดแย้ง การฟ้องหรือแย่งชิงอำนาจปกครองเด็ก ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” (best interests of the child) ไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัวของพ่อแม่

ในสังคมไทยยุคใหม่ ปัญหาครอบครัวมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของบทบาทชายหญิง หรือแม้แต่ปัญหาเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัย การยึดมั่นในหลักความยุติธรรมจึงเป็นเสาหลักสำคัญในการคงความมั่นคงของครอบครัว และป้องกันการแตกแยกอย่างถาวร

ความยุติธรรมในครอบครัวมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หากแต่ต้อง “ปลูกฝัง” และ “ฝึกฝน” ผ่านพฤติกรรม เช่น การให้อภัย การยอมรับความผิด การประนีประนอม และการพูดคุยอย่างเปิดใจ แม้บางครั้งอาจต้องอาศัยบุคคลภายนอก เช่น ทนายความ นักจิตวิทยา หรือผู้ไกล่เกลี่ย แต่เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้สมาชิกในครอบครัวสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในสิทธิของกันและกัน

สุดท้าย ความยุติธรรมในครอบครัวไม่เพียงเป็นหลักประกันของชีวิตคู่หรือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานของความสงบสุขในสังคม หากครอบครัวมีความยุติธรรม เคารพกัน เข้าใจกัน ย่อมลดโอกาสในการเกิดปัญหาสังคม เช่น ความรุนแรงในครอบครัว การละทิ้งเด็ก หรืออาชญากรรมในระดับเยาวชน

การสร้างครอบครัวที่ยุติธรรมจึงไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในครอบครัว รวมถึงสังคมโดยรวมที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยทั้งหมดอ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

การฟ้องหย่า: ขั้นตอน สิทธิเรียกร้อง และค่าใช้จ่ายที่ควรรู้

โดย สำนักงานทนายความเชียงใหม่ CNXLawyer

📌 เหตุฟ้องหย่าที่กฎหมายรับรอง

การฟ้องหย่าต้องมี “เหตุหย่า” ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งมี 10 กรณีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 เช่น คู่สมรสมีชู้ ทอดทิ้งกันเกิน 1 ปี ทำร้ายร่างกาย วิกลจริตถาวร หรือจำคุกเกิน 1 ปีโดยที่อีกฝ่ายไม่มีส่วนรู้เห็น การฟ้องหย่าจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องยึดตามพฤติการณ์และหลักฐานที่สามารถยืนยันได้จริง


📌 สามีหรือภรรยาติดคุก ฟ้องหย่าได้หรือไม่?

ในกรณีที่คู่สมรสต้องโทษจำคุกเกิน 1 ปี อีกฝ่ายสามารถฟ้องหย่าได้ หากพิสูจน์ได้ว่าตนได้รับความเดือดร้อนเกินควร และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้น (มาตรา 1516(4/1)) อย่างไรก็ตาม หากจำเลยพ้นโทษมานานแล้ว เช่น กรณีที่ฟ้องหลังพ้นโทษมา 5 ปี ศาลอาจวินิจฉัยว่า “ไม่มีความเดือดร้อนเหลืออยู่” และไม่รับฟ้องหย่าตามเหตุดังกล่าว


📌 ค่าใช้จ่ายในการฟ้อง

  • ค่าขึ้นศาลเบื้องต้น: 200 บาท

  • ค่านำส่งหมายเรียก: 500–700 บาท

  • หากมีการฟ้องเรียกเงินหรือทรัพย์สินเพิ่มเติม เช่น ค่าทดแทนหรือแบ่งสินสมรส จะคิดค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ที่ฟ้อง

  • ค่าทนายความ: ส่วนใหญ่คิดที่ 20,000 – 50,000 บาท (ขึ้นกับความซับซ้อนของคดี และพื้นที่ศาล)


📌 การฟ้องหย่า เรียกร้องอะไรได้บ้าง?

✅ 1. แบ่งทรัพย์สิน (สินสมรส)

หากมีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง สามารถขอแบ่ง “สินสมรส” ได้ตามมาตรา 1533 โดยแบ่งกันครึ่งหนึ่ง หากฝ่ายใดนำทรัพย์สินไปขายโดยไม่ยินยอม อีกฝ่ายสามารถขอฟ้องเพิกถอนสัญญาได้ตามมาตรา 1361 และ 1336

✅ 2. เรียกค่าเลี้ยงชีพ

ในกรณีที่คู่สมรสฟ้องหย่าเนื่องจากอีกฝ่ายทำผิด และฝ่ายผู้เสียหายจะขาดรายได้หลังการหย่า สามารถเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ตาม มาตรา 1526 โดยศาลจะพิจารณาจากฐานะของทั้งสองฝ่าย

✅ 3. เรียกค่าเลี้ยงดูบุตร

หากมีบุตรด้วยกัน ผู้ปกครองฝ่ายที่เลี้ยงดูสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูจากอีกฝ่ายได้จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (20 ปี)

✅ 4. เรียกค่าทดแทนจากชู้

หากคู่สมรสมีชู้ สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้ตาม มาตรา 1523 โดยสามารถฟ้องร่วมกับคดีหย่า หรือฟ้องแยกต่างหากก็ได้


📌 ใช้เวลานานแค่ไหน?

หากไม่มีข้อพิพาท การฟ้องหย่าจะใช้เวลา ประมาณ 3-4 เดือน หากมีการต่อสู้คดี อาจใช้เวลานานถึง 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการไต่สวนและความซับซ้อนของคดี


📌 เอกสารที่ใช้ในการฟ้อง

  1. ทะเบียนสมรส

  2. สำเนาทะเบียนบ้าน + บัตรประชาชน

  3. สูติบัตรบุตร (ถ้ามี)

  4. หลักฐานเหตุหย่า เช่น รูปภาพการมีชู้, ใบรับรองแพทย์, บันทึกประจำวัน

  5. หลักฐานทรัพย์สิน เช่น โฉนด, สมุดบัญชี, ทะเบียนรถ

  6. หลักฐานค่าเลี้ยงดูบุตร เช่น รายการค่าใช้จ่าย, ค่าเรียน


📌 ขั้นตอนการฟ้อง (โดยสรุป)

  1. นัดปรึกษาทนายความ พร้อมเล่าข้อเท็จจริง

  2. รวบรวมหลักฐาน พร้อมเซ็นหนังสือแต่งตั้งทนาย

  3. ทนายยื่นฟ้องที่ศาลที่มีเขตอำนาจ

  4. ศาลนัดพิจารณา อาจมีการไกล่เกลี่ย

  5. หากตกลงกันได้ ศาลพิพากษาตามยอม หรือพิพากษาชี้ขาด

  6. นำคำพิพากษาไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ


📍 สรุป

การฟ้องหย่าเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบทั้งด้านจิตใจ ทรัพย์สิน และอนาคตของชีวิตคู่ การมี “เหตุหย่าชัดเจน” พร้อมหลักฐานที่ครบถ้วนจะทำให้การดำเนินคดีมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง หากท่านต้องการปรึกษาขั้นตอนการฟ้องหย่า ขอคำแนะนำด้านกฎหมายครอบครัว หรือประเมินโอกาสในคดี CNXLawyer ยินดีให้คำปรึกษาโดยทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญ

ติดต่อทนาย
โทร
Contents hide
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x