Bottom Mobile Menu

การตั้งผู้จัดการมรดกเชียงใหม่

จัดการมรดกเชียงใหม่

การจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่แล้ว และความกังวลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น การตั้ง ผู้จัดการมรดก จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการจัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย ในฐานะทนายความ เราเข้าใจดีว่าหลายท่านอาจยังไม่คุ้นเคยกับบทบาทนี้ บทความนี้จะให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

 

ผู้จัดการมรดกคืออะไร?

 

ผู้จัดการมรดก คือ บุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลและจัดการทรัพย์สิน หนี้สิน และภาระผูกพันต่างๆ ของผู้เสียชีวิตตามพินัยกรรม (ถ้ามี) หรือตามกฎหมาย โดยมีหน้าที่หลักในการรวบรวมทรัพย์สิน ชำระหนี้ และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกให้ถูกต้องและเป็นธรรม

 

ทำไมถึงต้องตั้งผู้จัดการมรดก?

 

การตั้งผู้จัดการมรดกมีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น:

  • ป้องกันข้อพิพาท: เมื่อมีผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล การจัดการทรัพย์สินจะเป็นไปตามคำสั่งศาลและกฎหมาย ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดข้อพิพาทระหว่างทายาท
  • ความชอบธรรมทางกฎหมาย: ผู้จัดการมรดกมีอำนาจทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิต เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การถอนเงินจากบัญชีธนาคาร หรือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน
  • การจัดการหนี้สิน: ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ตรวจสอบและชำระหนี้สินของผู้เสียชีวิตก่อนที่จะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้ทายาท เพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินที่อาจตามมาในภายหลัง
  • สร้างความโปร่งใส: การจัดการโดยผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลจะมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ทำให้ทายาทมั่นใจได้ว่าทรัพย์สินจะได้รับการจัดการอย่างยุติธรรม

 

ใครสามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้บ้าง?

 

บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ:

  1. บรรลุนิติภาวะ: มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
  2. ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต: มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
  3. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย: มีความสามารถในการจัดการทรัพย์สินได้
  4. ไม่เป็นผู้ที่ศาลสั่งห้ามมิให้จัดการทรัพย์สิน: ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลไร้ความสามารถ บุคคลเสือนคนไร้ความสามารถ หรือบุคคลล้มละลาย

ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกอาจเป็นทายาทโดยธรรม ผู้รับพินัยกรรม ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการก็ได้

 

ผู้มีส่วนได้เสียได้แก่ใครบ้าง

 

ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก
  1. ผู้สืบสิทธิจากทายาท (ได้แก่ กรณีที่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกถึงแก่ความตายเสียก่อนได้รับส่วนแบ่งมรดก ) และผู้รับมรดกแทนที่
  2. เจ้าของรวมในทรัพย์มรดก (เช่น การที่บุคคลหลายคนประกอบการค้าร่วมกัน ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นเจ้าของรวมกันของบุคคลดังกล่าว จึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินดังกล่าว)
  3. สามีหรือภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (สามีหรือภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่กินด้วยกัน ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันถือว่าเป็นเจ้าของรวมของสามีภริยา สามีหรือภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ดังกล่าว มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าระหว่างอยู่กินกัน ไม่มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ก็ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก)
  4. เจ้าหนี้ของกองมรดก
  5. กรณีเจ้าหนี้ของกองมรดกจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ ต้องแยกเป็น 2 กรณี ได้แก่
  6. กรณีที่เจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม กรณีนี้เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องให้ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมให้รับผิดชำระหนี้จากกองมรดกได้อยู่แล้ว เจ้าหนี้จึงไม่มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกหรือร้องคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก
  7. กรณีกองมรดกซึ่งไม่มีทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม แม้กรณีเช่นนี้มรดกจะตกทอดแก่แผ่นดิน แผ่นดินก็มิใช่ทายาท เจ้าหนี้ไม่อาจบังคับชำระหนี้ได้จนกว่าจะตั้งผู้จัดการมรดกได้ กรณีนี้ถือว่าเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้
  8. ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม (กรณีที่เจ้ามรดกตั้งผู้จัดการมรดกโดยระบุไว้ในพินัยกรรม ผู้จัดการมรดกดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามพินัยกรรม มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้)
  9. ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ซึ่งเป็นทายาท
  10. ผู้ปกครองผู้เยาว์ซึ่งเป็นทายาท

 

ขั้นตอนการตั้งผู้จัดการมรดก

 

โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการตั้งผู้จัดการมรดกจะประกอบด้วย:

  1. การรวบรวมเอกสาร: เตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น มรณบัตร ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนของทายาท และเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เสียชีวิต (โฉนดที่ดิน, สำเนาคูมือจดทะเบียนรถ, สมุดบัญชีธนาคาร)
  2. การยื่นคำร้องต่อศาล: ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
  3. การไต่สวนของศาล: ศาลจะทำการไต่สวนพยานหลักฐาน เพื่อพิจารณาว่าผู้ร้องมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่
  4. คำสั่งศาล: หากศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควร ก็จะมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกอย่างเป็นทางการ
  5. การประกาศโฆษณา: ผู้จัดการมรดกที่ได้รับแต่งตั้งจะต้องประกาศโฆษณาการแต่งตั้งภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
  6. การจัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกเริ่มดำเนินการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น การรวบรวมทรัพย์สิน ชำระหนี้สิน และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท

 

ค่าใช้จ่ายและค่าบริการว่าความโดยประมาณ

 

ค่าใช้จ่ายและค่าบริการว่าความในการตั้งผู้จัดการมรดก ไม่มีราคาตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความซับซ้อนของคดี มูลค่าทรัพย์มรดก และอัตราค่าบริการของทนายความแต่ละสำนักงาน

ค่าใช้จ่ายหลักๆ ประกอบด้วย:

  • ค่าธรรมเนียมศาล: 200 บาท

  • ค่าทนายความ: ค่าบริการเตรียมเอกสาร ยื่นคำร้อง ดำเนินคดี และให้คำปรึกษา

  • ค่าประกาศโฆษณา: ค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย

  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ตามจริง): เช่น ค่าคัดสำเนาเอกสาร, ค่าเดินทาง, ค่าโอนกรรมสิทธิ์

ประมาณการเบื้องต้น: สำหรับคดีไม่ซับซ้อน ค่าบริการว่าความและค่าใช้จ่ายโดยรวมอาจเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 – 30,000 บาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงตัวเลขประมาณการที่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

สรุป

 

การตั้งผู้จัดการมรดกเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่มีความสำคัญและมีรายละเอียด หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้และต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือในการดำเนินการ เราในฐานะทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมรดก พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการแทนคุณ เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินของผู้จากไปเป็นไปอย่างถูกต้องและราบรื่นที่สุด

จัดการมรดก
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x